
เพชรเม็ดงามที่มีประกายวูบวาบแวววาว สะดุดตาทั้งผู้ใส่และผู้มองนั้น ปกติแล้วถ้าเรามองกันด้วยตาเปล่า เราก็อาจจะเห็นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกตามลักษณะ 4C ของเพชรนั่นก็คือ Carat นั่นก็คือขนาดของเพชรเม็ดนั้นๆ และ Color ความขาวของสีเพชรเม็ดนั้นๆ เมื่อเราใช้เครื่องมือที่เรียกว่า แว่นขยาย 10เท่า หรือ Loupe ส่องเข้าไปดูภายในเพชรเม็ดนั้นๆ เราก็จะได้พบกับ C ตัวที่ 3 นั่นก็คือ Clarity ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หลายๆคนให้ความสำคัญมาก จนมาถึง C สุดท้ายนั่นก็คือ Cut คุณภาพของการเจียรไน ซึ่งเกี่ยวข้องสิ่งที่เราจะพูดถึงกัน เพราะ Cutting หรือ การเจียระไนนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะแปลงโฉมเพชรจากที่เคยมีรูปร่างคล้ายก้อนหินในธรรมชาติให้มีเหลี่ยมมุมที่ทำให้เกิดการหักเหของแสงจนเกิดประกายระยิบระยับจับตาอย่างที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง
เมื่อเพชรผ่านการเจียรไนแล้ว ก็จะทำให้เกิดรูปทรงเฉพาะตัวที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ นั่นก็คือ ส่วนบนที่เราเรียกว่าส่วน Crown (อ่านว่า คราวน์) และส่วนล่างคือ Pavilion (อ่านว่า พาวิลเลียน) ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ จะถูกคั่นไว้ด้วย ขอบของเพชร เรียกว่า Girdle (เกอร์เดิล) ซึ่งขอบนีั้เอง ที่เวลาเรามองเพชรจากด้านบนแล้วเราจะเห็นเป็นรูปวงกลม นอกจากนี้ บริเวณผิวบนสุดของเพชร ที่เราเห็นอยู่นั้น เรียกว่า หน้ากระดาน หรือ Table ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะพื้นที่หน้าเพชรส่วนใหญ่ จะถูกกินพื้นที่ไปด้วยส่วนที่เป็นหน้ากระดานนี้ และส่วนปลายสุดด้านล่างนั้น เรียกว่า Culet (คิวเล็ท) ซึ่งจะมีลักษณะ ปลายแหลม หรือ ปลายตัด แตกต่างกันไปในแต่ละเม็ด...

ภาพแสดงส่วนต่างๆของเพชร
แต่ละส่วนที่กล่าวนั้นเมื่อประกอบเข้าด้วยกันก็มีผลทำให้เพชรแต่ละเม็ด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ซ้ำกัน เนื่องจาก การทำมุมต่างๆกัน ความหนาบางของเส้นต่างๆ ล้วนมีผลอย่างยิ่งต่อการช่วยหักเหแสงในเพชรเม็ดนั้นๆ สำหรับเรื่องสัดส่วนที่ดีของเพชรนั้น ควรจะเป็นอย่างไร ไว้ติดตามอ่านกันได้ในโอกาสหน้านะครับ..